คราวนี้...พอขึ้นนำฝูงได้ สปอตไลต์ก็ฉายไปยังเกมแดงเดือดทันที
ว่ากันว่า "จ่าฝูง" ครั้งนี้หากนับเอาเป็นสถิติและใช้คำว่า "จ่าฝูง"
ครั้งล่าสุดคือ 10 ส.ค. 2018 เกมแรกของซีซั่น เล่นทีมแรก
แม้จบแมตช์เดย์ 1 พวกเขาจะไม่ใช่ "จ่าฝูง" หลังเกมแรก
แต่เมื่อใช้คำว่าครั้งล่าสุดที่ขึ้นจ่าฝูง ก็นับว่าไม่นานเท่าไหร่
2 ปี 6 เดือน ซึ่งสื่อหลายเจ้าก็ระบุตัวเลขนี้เป็นหลัก
หากคุณใช้คำว่า when were your club last top of the table?
หรือ How long since every PL club has topped the table?
ความหมายเดียวกัน ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่, นานเท่าไหร่...ที่เป็น"จ่าฝูง"
แมนฯยูฯ คือ 887 วัน ก็ตรงกับ 10 ส.ค. 2018 ยุค มูรินโญ
อย่างที่เขียนระบุคือ "เตะเกมแรก" ก่อนใคร
ก่อนหน้านั้นคือ 2017 เป็นเวลา 1,216 วัน "จ่าฝูง" หลังผ่านสี่เกม
ในพรีเมียร์ลีก 20 ทีมนี่มี ไบรท์ตัน ทีมเดียวที่ไม่เคยเป็น "จ่าฝูง"
บางทีมครองจ่าฝูงครั้งสุดท้าย 2หมื่นกว่าวัน บางทีมหมื่นกว่า
หลายทีมนับเป็นวัน, เดือนเท่านั้น ..
ผมพึ่งเขียนลงสตาร์ซอกเกอร์ รายวันไปเพื่อต้อนรับ "จ่าฝูง" ผีแดงเมื่อวาน
ลองดูว่า "นานเท่าไหร่" และ "ครั้งสุดท้าย" จ่าฝูงแต่ละทีมนานกันขนาดไหน
Tottenham Hotspur: Dec 15, 2020
Chelsea: Dec 5, 2020
Leicester City: Nov 20, 2020
Southampton: Nov 7, 2020
Everton: Oct 30, 2020
Arsenal: Sept 19, 2020
Man City: Aug 16, 2019
Man Utd: Aug 10, 2018
Fulham: Aug 21, 2012
Aston Villa: Aug 20, 2011
Newcastle United: Aug 13, 2007
West Ham United: Aug 22, 2006
Leeds: Aug 26, 2002
Crystal Palace: Oct 5, 1979
West Bromwich Albion: Feb 2, 1979
Burnley: Aug 31, 1973
Sheff Utd: Oct 8, 1971
Wolves: Oct 5, 1962
Brighton: Never
ลิเวอร์พูลไม่มี เพราะนับเป็นจำนวนวันนะครับ
ถ้ากลับมายึดคืนได้เร็วหน่อยก็คงไม่ถึงสัปดาห์ สี่ซ้าห้าวัน 5555
ถ้ายังยืดคืนไม่ได้ก็ต้องนับกันต่อเป็นสัปดาห์ละกัน
การขึ้นจ่าฝูงของแมนฯยูไนเต็ด มีความสำคัญอย่างไร
ถ้าหากเราดูผลงานของพวกเขาตั้งแต่เกมแรก อย่างที่ผมเขียนในเพจ
คือพวกเขาขาด "ฟิตเนส" ทำให้การเล่นได้ตามแทกติกนั้นยาก
ซ้อมน้อย พักน้อย อุ่นเครื่องเกมเดียว ดูขลุกขลัก ก็เหมือน แมนฯซิตี้
ทว่า...หลังจากเริ่มเข้าที่ เพราะมีเกมบอลถ้วย,ชปล. มาด้วย
เส้นกร๊าฟของแมนฯยูไนเต็ด ไต่ระดับขึ้นมาจนขึ้นแป้นอันดับหนึ่งในที่สุด
อันนี้ต้องให้เครดิต น้าลูกอม ที่แฟนผีหลายคนก่นดา และติดแฮชแทก #OLEOUT
อลัน เชียเรอร์ วิเคราะห์หลังเกมว่า "เหมาะสม" ที่มายืนตรงนี้ เพราะผลงานพัฒนาขึ้น
ผมเขียนเรื่องแมนฯยูฯ ลุ้นแชมป์ในเพจด้วยเหตุผลทางฟุตบอลไปแล้ว
ไม่ขอวนซ้ำ แต่เพิ่มเติมบางเรื่องที่เป็นเชิงจิตวิทยาเข้าไปก็แล้วกัน
ช่วงนี้คือช่วงมั่นใจของเด็กผีทั้งโค้ชและนักบอล เล่นยังไงก็เสียยาก ยิงง่าย
ไม่เหมือนช่วงสามสี่นัดแรก เล่นไง ก็เสียง่าย ยิงยาก
เรื่องแทกติกผมเขียนในเพจไปแล้ว ไม่ได้ผิดจากการคาดการณ์
ไปหาอ่านย้อนหลังกันนะครับแต่ที่จะเสริมคงเป็นเชิงจิตวิทยา
1 ทีมสปิริต ครับ
ข่าววงในระบุว่า แฮร์รี แมกไกวร์ คือคีย์แมนครับ
เขาคือนักเตะที่รวบรวมเพื่อนให้เป็นกลุ่มก้อนในการทำงานด้วยกัน
ก่อนหน้าโควิด และช่วงโควิด ที่ต้องการมัดใจเข้าด้วยกัน
เขาคือเสาหลักของทีมเรื่องนี้
บรูโน แฟร์นานดส์ ที่เข้ามาพร้อมแรงกระตุ้นในการเล่น
ทั้งในและนอกสนาม เขากล้าที่จะส่งเสียงให้เพื่อนลุย
เขาแสดงให้เห็นในสนามเพื่อสร้างความมั่นใจว่าเพื่อนร่วมทีมทำได้
ความเป็นมืออาชีพระดับทีมชาติโปรตุเกสของเขาช่วยได้
กาวานี คืออีกตัวอย่างที่ดีอย่างยิ่ง
ตั้งแต่เขามาซ้อมกับทีม เขาซ้อมส่วนตัวอย่างหนัก
เขามาทานข้าวด้วยกัน มื้อก่อนและหลังแข่ง
ให้กำลังใจทีม เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของทีมทั้งที่ไม่ได้เล่น
รวมทั้งช่วงที่โดนแบนสามนัด
2 ช่วงมั่นใจ..
ตั้งแต่เกมรับจนถึงเกมรุก เล่นอย่างมั่นใจ
สังเกตว่าความผิดพลาดลดลงทุกแดน
หลังเสียยาก พลาดยาก หน้าจบสกอร์ได้คมขึ้น
แม้กระทั่งโรเตชั่นและมีการปรับแทกติก มีผลกระทบนิดหน่อย
ไม่ใช่ว่าพอเปลี่ยนทีมแล้วเล่นแย่เลย
นักเตะกลุ่มนี้ใช้งานได้ 15-16 คน มีการแข่งขันกันสูง
แต่ที่สำคัญ มันคือช่วงเวลาที่เล่นอย่างมั่นใจอย่างแท้จริง
เรายังคงไม่พูดถึงเรื่องอนาคต...เช่นการแก้ปัญหาของน้าลูกอม
หากมีนักเตะเจ็บ, ฟอร์มตก, แบน และสู้กับความกดดันเมื่อมายืน ณ ที่สูงแล้ว
อย่างที่นักเตะหลายคนบอกเมื่อวานรวมทั้งน้าลูกอมพูด
"ไม่มีใครจำตารางคะแนนเดือนมกราคม"
น้าแกยังบอกกับนักข่าวอีกว่า "มันท้าทาย"
วันอาทิตย์นี้เยือนแอนฟิลด์ คือ "บททดสอบครั้งสำคัญ"
ทดสอบแทกติก, คุณภาพการเล่น และการรับมือกับความกดดัน
เจอแชมป์เก่าที่ฟอร์มตกแต่ยังเป็นทีมคุณภาพ
ตัวเองในฐานะผู้นำจ่าฝูง จะสั่นไหวขนาดไหน
แล้วถ้าแมนฯซิตี้เก็บสามแต้มกับไบรท์ตันได้ (ไม่น่าพลาด)
พวกเขาจะมี 32 คะแนนพร้อมเกมในมืออีกหนึ่งเกม
นั่นเท่ากับว่าความห่างระหว่างอันดับ 1-7 อยู่ในระยะ 1-3 แต้ม
"จ่าฝูง" จะเป็นสมบัติผลัดกันชมหรือไม่ก็น่าติดตาม
เพราะตั้งแต่เกมแรกเป็นต้นมา จากอาร์เซนอล,เอฟเวอร์ตัน, เซาธ์แฮมป์ตัน
เชลซี, เลสเตอร์, สเปอร์ส, ลิเวอร์พูล เป็น "จ่าฝูง" กันแบบไม่ยืดยาว
ด้วยเพราะการแข่งขันมันเปิดกว้างในสถานะการณ์ไม่ปกติของปีนี้
การไล่ตัดคะแนนกันเกิดขึ้นทุกสัปดาห์
เราอาจได้เห็นการขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้นอีกปีหนึ่งของพรีเมียร์ลีก
ลองติดตามดูนะครับ....เริ่มจากเสาร์ที่ 16 ม.ค. นี่เป็นต้นไป
ไม่อนุญาตให้ฟอร์มแผ่วแบบ "หงส์แดง" นะครับ
ไม่งั้น "ร่วง" หลุดทอปโฟร์ง่ายๆเลย
Cr.Jackie